ล้างแอร์รถยนต์ ควรทำตอนไหน

แอร์รถยนต์ จะเป็นระบบการใช้งานที่ไม่ได้แตกต่างจากการใช้แอร์บ้านเท่าไหร่ ซึ่งก็อาจจะมีสิ่งสกปรกสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผ่านระยะการใช้งาน เพราะฉะนั้นการล้างแอร์จึงมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นการยืดอายุการใช้งานแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพของผู้โดยสารภายในรถอีกด้วย ซึ่งการล้างแอร์รถยนต์ควรจะทำทุกๆ 1 – 2 ปีโดยประมาฯ หรือทุกการใช้งาน 20,000 กิโลเมตร แต่สำหรับในกรณีที่แอร์รถยนต์มีความผิดปกติ

ซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุของสิ่งสกปรกต่างๆ เช่น มีกลิ่นเหม็นอับ หรือลมแอร์เบา การล้างแอร์ก็อาจจะช่วยแก้ปัญหาเบื้องต้นเหล่านั้นได้ นอกจากนี้กรใช้งานของแต่ละบุคคลก็จะส่งผลโดยตรงได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นมาจากการใช้น้ำหอมระเหยดับกลิ่น การใช้การบูรภายในรถ รวมไปถึงการนำรถไปใช้ในพื้นที่ที่มีฝุ่นปริมาณมาก สิ่งสำคัญในควรตั้งเป็นหลักในการล้างแอร์รถยนต์ ก็คือควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ เพราะถ้าหากแก้ไข และซ่อมแซมได้ก่อนที่มักจะบานปลาย ก็อาจจะช่วยเซพค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดีนั่นเอง

วิธีการล้างแอร์รถยนต์หลักๆ จะมีด้วยกัน 2 แบบ

1.การล้างแอร์รถยนต์แบบถอดตู้

ล้างแอร์รถยนต์แบบถอดตู้ จะเป็นการล้างแอร์แบบดั้งเดิม ซึ่งถือว่าเป็นวิธีทีได้รับความนิยมเป็นอ่างมาก โดยที่วิธีดังกล่าวจะเป็นการรื้อตู้แอร์ทั้งแผงคอยล์เย็น และคอยล์ร้อน นำเอาออกมาเพื่อทำความสะอาดทั้งด้านนอก และด้านใน เป็นวิธีที่สามารถล้างสิ่งสกปรกได้อย่างสะอาดแทบจะทุกส่วน ซึ่งข้อเสียในการล้างแอร์รถยนต์แบบถอดตู้นั่นก็คือ ช่างจำเป็นที่จะต้องรื้อแผงคอนโซลหน้าออกมาแทบทั้งหมด เหมาะฉะนั้นจะเป็นต้องอาศัยความชำนาญของช่างเป็นอย่างมาก

2.การล้างแอร์รถยนต์แบบไม่ถอดตู้แอร์

การล้างแอร์รถยนต์แบบไม่ถอดตู้แอร์ ถือว่าเป็นวิธีการล้างแอร์ที่เพิ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยที่จะเป็นการล้างด้วยการใช้เครื่องมือพิเศษ ที่จะนำมาใช้เพื่อล้างแอร์รถยนต์โดยเฉพาะ โดยที่จะเป็นการสอดกล้อง พร้อมกับอุปกรณ์ล้างแอร์ เพื่อเข้าไปทำความสะอาดภายใน เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถอด หรือรื้อคอนโซนให้ยุ่งยาก แต่ข้อเสียในการล้างแอร์รถยนต์แบบไม่ถอดตู้นั่นก็คือ ความสะอาดที่เกิดขึ้นจะอยู่ประมาณ 70 – 80% เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการล้างแบบถอดตู้ ซึ่งเป็นการล้างด้วยการใช้แรงงานคน จงทำให้สามารถเจาะจงพื้นที่ที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ

จะเห็นได้ว่าการล้างแอร์รถยนต์ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งานได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของผู้โดยสารอีกด้วย ส่วนจะเลือกใช้วิธีไหน ก็สามารถเลือกได้ตามเหมาะสมของคุณเอง เพราะไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็จะส่งผโดยตรงต่อการบำรุงรักษาระบบแอร์รถยนต์ของคุณได้เหมือนกัน